top of page
รูปภาพนักเขียนDoctor Anywhere Thailand

วิธีคุมกำเนิด เลือกแบบไหนใช่ที่สุด

อัปเดตเมื่อ 8 ต.ค.


การเลือกวิธีการคุมกำเนิดที่เหมาะกับแต่ละคนต้องคำนึงถึงหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็น ไลฟ์สไตล์ และปัจจัยด้านสุขภาพ ด้วยตัวเลือกที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นวิธีการที่ใช้งานได้ระยะยาว เช่น ห่วงอนามัยหรือยาฝังคุมกำเนิด หรือวิธีที่ต้องใช้ทุกวันอย่างยาคุมกำเนิด การเข้าใจถึงวิธีการทำงาน ประสิทธิภาพ ข้อดีและข้อเสียของแต่ละวิธีจะช่วยให้เราตัดสินใจได้ง่ายขึ้น Doctor Anywhere Thailand จะพามาดูภาพรวมของวิธีการคุมกำเนิดยอดนิยม เพื่อให้สามารถตัดสินใจได้อย่างรอบคอบและเหมาะสมที่สุด


1. ยาฝังคุมกำเนิด (The Implant)

  • ประสิทธิภาพ: มากกว่า 99%

  • ข้อดี: มีอายุการใช้งานนานถึง 3 ปี โดยไม่ต้องพึ่งพาการเตรียมตัวทุกวัน

  • ข้อเสีย: อาจทำให้เกิดอาการเลือดออกไม่สม่ำเสมอ อารมณ์เปลี่ยนแปลง หรือเพิ่มน้ำหนัก


2. ห่วงคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมน (Hormonal IUD)

  • ประสิทธิภาพ: มากกว่า 99%

  • ข้อดี: ให้การป้องกันระยะยาว (3-8 ปี) และสามารถกลับมามีบุตรได้เมื่อเอาออก

  • ข้อเสีย: อาจทำให้เกิดอาการเลือดออกไม่สม่ำเสมอ และปวดท้องช่วงแรกหลังใส่


3. ห่วงคุมกำเนิดชนิดไม่มีฮอร์โมน (Copper IUD)

  • ประสิทธิภาพ: มากกว่า 99%

  • ข้อดี: ไม่มีฮอร์โมน ใช้งานได้นานถึง 10 ปี และสามารถใช้เป็นยาคุมกำเนิดฉุกเฉินได้

  • ข้อเสีย: อาจทำให้ประจำเดือนมามากขึ้นและมีอาการปวดท้อง โดยเฉพาะในช่วงเดือนแรก


4. การฉีดยาคุมกำเนิด (Depo Shot)

  • ประสิทธิภาพ: 94% เมื่อใช้อย่างถูกต้อง

  • ข้อดี: ฉีดเพียงทุก 3 เดือน

  • ข้อเสีย: อาจทำให้น้ำหนักเพิ่ม อารมณ์เปลี่ยนแปลง และมีประจำเดือนไม่สม่ำเสมอ ต้องฉีดตามเวลาทุก 3 เดือน


5. ยาคุมกำเนิด (Birth Control Pills)

  • ประสิทธิภาพ: 91% เมื่อใช้อย่างถูกต้อง

  • ข้อดี: สะดวกและสามารถช่วยปรับประจำเดือนให้สม่ำเสมอ

  • ข้อเสีย: ต้องรับประทานทุกวันในเวลาเดียวกัน อาจมีอาการคลื่นไส้ ปวดหัว หรือเจ็บเต้านม


6. วงแหวนคุมกำเนิด (The Ring)

  • ประสิทธิภาพ: 91% เมื่อใช้อย่างถูกต้อง

  • ข้อดี: มีตัวเลือกแบบใช้รายเดือนหรือรายปี โดยไม่ต้องเตรียมตัวทุกวัน

  • ข้อเสีย: ต้องใส่และถอดตามกำหนดเวลา อาจมีอาการคลื่นไส้ ปวดหัว หรือเจ็บเต้านม


7. แผ่นแปะคุมกำเนิด (The Patch)

  • ประสิทธิภาพ: 91% เมื่อใช้อย่างถูกต้อง

  • ข้อดี: ใช้แปะแค่สัปดาห์ละครั้ง ง่ายกว่าแบบทานยาทุกวัน

  • ข้อเสีย: อาจเกิดการระคายเคืองบริเวณที่แปะ หรือมีอาการคล้ายยาคุมกำเนิด (คลื่นไส้ ปวดหัว)


8. ยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน (Emergency Contraception)

  • ประสิทธิภาพ: ใช้ดีที่สุดภายใน 5 วันหลังมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน

  • ข้อดี: ใช้เป็นตัวเลือกสำรองเมื่อการคุมกำเนิดไม่สำเร็จหรือไม่ได้ใช้

  • ข้อเสีย: ไม่ควรใช้เป็นวิธีคุมกำเนิดประจำ และมีประสิทธิภาพน้อยกว่าวิธีอื่น ๆ


9. วิธีนับวันปลอดภัย (Natural Cycle Method)

  • ประสิทธิภาพ: 76-88% เมื่อใช้อย่างถูกต้อง

  • ข้อดี: ไม่มีฮอร์โมน และอาศัยการนับช่วงเวลาตกไข่

  • ข้อเสีย: ต้องติดตามรอบเดือนและอุณหภูมิร่างกายทุกวัน ซึ่งอาจทำได้ยาก


10. การหลั่งนอก (Withdrawal Method)

  • ประสิทธิภาพ: ประมาณ 80% เมื่อใช้อย่างถูกต้อง

  • ข้อดี: ไม่ต้องใช้ฮอร์โมนหรืออุปกรณ์ และสามารถใช้ได้ทุกครั้ง

  • ข้อเสีย: ต้องการการควบคุมเวลาและการแม่นยำสูง ซึ่งอาจไม่แน่นอนและเพิ่มความเสี่ยงในการตั้งครรภ์


11. ถุงยางอนามัย (Condoms)

  • ประสิทธิภาพ: 82% เมื่อใช้อย่างถูกต้อง

  • ข้อดี: เป็นวิธีเดียวที่ป้องกันการตั้งครรภ์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STIs)

  • ข้อเสีย: ต้องใช้อย่างถูกต้องทุกครั้ง และมีความเสี่ยงถุงยางแตกหรือรั่ว



เลือกวิธีคุมกำเนิดที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์และความต้องการด้านสุขภาพของคุณ ปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเพื่อทำการตัดสินใจที่ดีที่สุดสำหรับคุณ หากมีข้อกังวลใด ๆ ปรึกษากับ Doctor Anywhere ได้เสมอ💙



ดู 200 ครั้ง0 ความคิดเห็น

Comments


bottom of page